วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่นอก

หลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่นอกมีกิตติศัพท์ทางพุทธาคมเป็นที่ลื่อเลื่องในด้านคงกระพันชาตรีแคล้วคลาดและ มหาอุด มักสร้างอภินิหารต่างๆ ให้เป็นที่ปรากฏอยู่เป็นเนืองนิตย์ ทำให้วัตถุมงคลที่ท่านสร้างล้วนเป็นที่นิยมสะสมและแสวงหาอย่างกว้างขวางตลอด มา โดยเฉพาะ "เหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อพุ่ม" ซึ่งเป็นที่ต้องการและแสวงหาของบรรดานักนิยมสะสมพระเครื่องและเหรียญคณาจารย์อย่างสูง

หลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่นอก
หลวงพ่อพุ่ม จนฺทโชโต ท่านเป็นชาวหนามแดง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๙ ตอนเด็กเรียนหนังสือที่วัดหนามแดง ต่อมาบวชเป็นสามเณรแล้วเข้ามาศึกษาที่วัดไทร ถนนตก กรุงเทพฯ จนอายุครบบวช ท่านจึงเข้าพิธีอุปสมบทที่วัดโปรดเกศฯ มีพระอาจารย์คง เจ้าอาวาสวัดบางโคล่นอก เป็นพระคู่สวด ได้รับฉายา "จันทโชโต" ไปจำพรรษา ณ วัดบางโคล่นอก เพื่อศึกษาวัตรปฏิบัติ จนได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๑

เหรียญหลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่นอก ที่หลวงพ่อท่านสร้างและปลุกเสกเองนั้น มีด้วยกัน 2 รุ่น คือ เหรียญรุ่นที่ 1 และเหรียญรุ่นที่ 2

"เหรียญหลวงพ่อพุ่ม รุ่นที่ 1" สร้างจำนวน 1,000 เหรียญ เพื่อแจกเมื่อครั้ง หลวงพ่อพุ่มทำบุญอายุครบ 77 ปี (แซยิด) ลักษณะเป็นเหรียญเนื้อทองแดง รูปไข่ค่อนข้างกลม หูเชื่อม ขอบเหรียญด้านหน้าและหลังยกสูงเป็นสองชั้น ชั้นนอกเป็นเส้นหนา ชั้นในคล้ายเส้นลวดเล็กๆ ซ้อนอยู่ พิมพ์ด้านหน้า เป็นรูปหลวงพ่อพุ่มครึ่งองค์หน้าตรง ไม่มีอักขระอื่นใด พิมพ์ด้านหลัง เป็นรูป "ยันต์น้ำเต้าทอง" อยู่ใต้ "อุณาโลม" มีหยักรอบอุณาโลม 5 หยัก หมายถึงพระเจ้า 5 พระองค์ คือ นะ โม พุท ธา ยะ ส่วนอักขระที่อยู่ในยันต์น้ำเต้าทองตัวถัดลงมาคือ "ตัวนะ" มีลักษณะเป็นเส้นลากจากหางมาปิดตัวเองซึ่งเรียกกันว่า นะปิด นะล้อม หรือนะกัน เป็นยันต์ที่ใช้ทางมหาอุด แคล้วคลาดและป้องกันภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง ด้านล่างสุดมีอักขระ 3 ตัว คือ "มะ อะ อุ" หมายถึงพระรัตนตรัย โดยสามารถแบ่งแยกออกเป็น 2 พิมพ์ คือ พิมพ์อุชิดและพิมพ์อุห่าง

เหรียญหลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่ รุ่นแรก
"เหรียญหลวงพ่อพุ่ม รุ่นที่ 2" สร้างจำนวนไม่เกิน 500 เหรียญ เพื่อแจกผู้มีจิตศรัทธาร่วมทุนทรัพย์ในคราวสร้างกุฏิ วัดบางโคล่นอก เมื่อปี พ.ศ.2486 มีลักษณะคล้ายๆ กันกับรุ่นที่ 1 จะต่างกันที่รูปไข่ค่อนข้างชะลูดกว่า พิมพ์ด้านหน้า เพิ่มอักขระ "เพื่อเป็นที่ระฤก พระครูรัตนรังษี" และขอบด้านหลังยกสูงเพียงขอบเดียวเท่านั้น

ด้วยพุทธคุณและความศักดิ์สิทธิ์ของ เหรียญหลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่นอก กอปรกับจำนวนการสร้างที่น้อยมาก จึงทำให้เป็นที่นิยมและใฝ่หามาบูชาติดตัวในหมู่นักนิยมสะสมทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "เหรียญหลวงพ่อพุ่ม รุ่นที่ 1" ซึ่งเป็นพิมพ์นิยม จะหาดูหาเช่าได้ยากและมีสนนราคาค่อนข้างสูง

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เบี้ยแก้ หลวงพ่อตี๋ วัดหูช้าง

วัดหูช้าง จังหวัดนนทบุรี ปัจจุบัน หลวงพ่อตี๋ เป็นเจ้าอาวาส ได้จัดสร้างเบี้ยแก้ ซึ่งเป็นสายวัดนายโรง โดยหลวงพ่อกี๋ สมภารองค์ก่อนที่มรณภาพไปแล้ว ได้ไปร่ำเรียนมาจากหลวงปู่รอด วัดนายโรง และหลวงพ่อตี๋ ก็ได้รับการถ่ายทอดการทำเบี้ยแก้มาจากหลวงพ่อกี๋อีกทอดหนึ่ง เหตุที่หลวงพ่อกี๋ได้จัดสร้างเบี้ยแก้ขึ้นมานี้ก็เพราะบริเวณวัดหูช้างน้ำท่วมอยู่เนือง ๆ ทางวัดหูช้างยังขาดปัจจัยอยู่อีกมาก หลวงพ่อตี๋จึงจัดสร้างเบี้ยแก้ออกให้สาธุชนทั่วไปเช่าบูชา แล้วนำปัจจัยที่ได้จากการนี้ไปถมที่ยกพื้นวัดให้พ้นจากการถูกน้ำท่วม

เบี้ยแก้ หลวงพ่อตี๋ วัดหูช้าง จ.นนทบุรี
พระครูสุวรรณโชติวุฒิ หรือ หลวงพ่อตี๋ วัดหูช้าง นนทบุรี ปัจจุบันอายุ 73 พรรษา วัดของท่านอยู่ไม่ไกลจากวัดตะเคียน อยู่คนละฝั่งถนนใหญ่ ท่านเป็นศิษย์เอกทายาทพุทธาคมเพียงรูปเดียวและมีศักดิ์เป็นหลานของหลวงปู่กี๋ วัดหูช้าง เกจิดังสมัยพ.ศ. 2500 ที่คนเมืองนนท์ เคารพนับถือท่านมาก

เบี้ยแก้ หลวงพ่อตี๋ วัดหูช้าง
หลวงปู่กี๋ ท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ท่านจึงได้วิชาการทำปลัดมาอย่างเข้มขลังจนเป็นตำนาน ปลัดเมืองนนท์ ที่สุดยอดหายากและปราถนาเนื่องจากพุทธคุณใช้แทนอาจารย์ของท่านได้เลยทีเดียว รวมถึงเป็นศิษย์ก๋งจาบ สำนักประดู่ทรงธรรม อยุธยา ศิษย์น้องหลวงปู่เทียม วัดกษัตราฯ และหลวงพ่อแทน วัดธรรมเสน ซึ่งเกจิร่วมสำนักทั้ง 3 รูปนี้ได้ก่อปาฏิหารย์ในคราวปลุกเสกพระที่วัดปราสาทบุญญาวาสสามเสน คือแผ่นทองแดงของพระอาจารย์ทั้ง 3 รูปหลอมไม่ละลายมาแล้ว และยังเป็นศิษย์หลวงปู่แดง วัดตะเคียน นนทบุรี และหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เจ้าคุณโพธิ์ วัดชัยพฤกษ์มาลา อีกด้วย จึงนับว่าหลวงพ่อตี๋ วัดหูช้าง ท่านเป็นพระเกจิที่สืบสายพุทธาคมมาอย่างเข้มขลัง โดยเฉพาะการทำปลัด ตะกรุด และเครื่องรางของขลังต่างๆ ท่านยังคงจารเอง รวมถึงการเหลาไม้ และวัสดุมวลสารต่างๆเองทุกขั้นตอน จึงทำให้วัตถุมงคลของท่านเข้มขลังและทรงคุณค่าและที่สำคัญหายากมาก

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ประวัติหลวงพ่อหอม วัดซากหมาก

ประวัติหลวงพ่อหอม วัดซากหมาก กับเครื่องรางสิงห์งาแกะ
นับว่าเป็นอดีตพระเกจิอาจารย์ดังรูปหนึ่ง “พระครูภาวนานุโยค” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “หลวงพ่อหอม จันทโชโต” แห่งวัดซากหมากฯ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง วัตถุมงคลของท่านปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ลูกศิษย์ลูกหาและนักสะสม

หลวงพ่อหอมเกิดเมื่อ วันจันทร์ เดือน 10 ปีขาล พ.ศ. 2433 เป็นบุตรของ นายสัมฤทธิ์ กับ นางพุ่ม ทองสัมฤทธิ์ เป็นชาวบ้านสำนักท้อน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3 คน โดยท่านเป็นคนสุดท้อง เมื่อ อายุ 21 ปี ทำหน้าที่ลูกผู้ชายไปเข้ารับราชการทหารเรือ 2 ปี จนปลดประจำการ กลับมาช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพที่บ้านเดิม และก็ได้แต่งงานมีบุตร 3 คน พร้อมกันนั้นก็ได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณจากบิดาจนเชี่ยวชาญ สามารถช่วยเหลือเพื่อนบ้านตลอดมา

หลวงพ่อหอม วัดชานหมาก
หลวงพ่อหอมเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิต ฆราวาส จึงได้อุปสมบทเมื่ออายุ 36 ปี ณ พัทธสีมาวัดทับมา เมื่อปีพ.ศ.2469 มีหลวงพ่อขาว วัดทับมา อ.เมือง จ.ระยอง เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อจี๊ด วัดเขาตาแขก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อชื่น วัดมาบข่า เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อบวชแล้วได้อยู่จำพรรษาศึกษาพระธรรมวินัยอยู่ที่วัดมาบข่ากับหลวงพ่อ ชื่น 2 พรรษา แล้วได้พยายามศึกษาด้านพุทธเวทอย่างจริงจังจนสำเร็จ หลวงพ่อชื่นซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท่านเคยปรารภกับพระภิกษุรูปอื่นว่า “อีกหน่อยคุณหอมเขาจะหอมทวนลมนะ”

หลังจากนั้นท่านก็ได้กราบลาพระ อาจารย์ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดซากหมาก ซึ่งอยู่ใกล้บ้านเกิดของท่าน ต่อมาท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสและพัฒนาถาวรวัตถุให้เจริญ รุ่งเรืองขึ้นอย่างทันตาเห็น เช่น กุฏิ ศาลาการเปรียญ หอระฆัง โรงเรียน อุโบสถ หอไตรกลางน้ำ เป็นต้น

ทั้งที่ก่อนนี้วัดซากหมากมีเพียงเรือน ไม้ 2 หลัง ทรุดโทรมจนเกือบใช้การไม่ได้ เป็นสำนักสงฆ์ร้างมาประมาณ 10 ปี ขณะที่ท่านมาฟื้นสำนักสงฆ์แห่งนี้เมื่อปีพ.ศ.2471 บริเวณบ้านซากหมากนี้ยังเป็นป่า เป็นที่อยู่ของสัตว์ร้ายนานาชนิด เป็นที่อัศจรรย์สัตว์ร้ายเหล่านี้หาทำอันตรายท่านไม่ ชื่อเสียงของท่านค่อยๆ โด่งดังขึ้นมาตั้งแต่หลังสงครามมหาเอเชียบูรพา ในมณฑลพิธีพุทธาภิเษกที่จัดขึ้นเกือบทุกหนแห่งในประเทศไทย ท่านจะได้รับการนิมนต์ให้ไปร่วมเสมอ แม้ในพิธีฉลอง 25 พุทธศตวรรษ กระทั่งพิธีพุทธาภิเษกของวัดสุทัศน์ และวัดพระเชตุพนฯ ก็ได้รับนิมนต์เกือบทุกครั้ง ด้วยความเป็นพระมากเมตตาหลวงพ่อหอมต้องต้อนรับลูกศิษย์ลูกหาจนแทบไม่มีเวลา พักผ่อน แต่ถึงกระนั้นท่านก็ภูมิใจ เพราะทำให้วัดที่ทุรกันดารกลายเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างทันตาเห็น

สิงห์ หลวงพ่อหอม วัดชานหมาก
หลวงพ่อหอมท่านมรณภาพเมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2520 ณ โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ สัตหีบ จ.ชลบุรี ด้วยโรคชรา รวมสิริอายุ 87 ปี พรรษาที่ 51 ทิ้งไว้แต่เพียงความดีงามและความศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นตำนาน

หลวง พ่อหอมท่านได้สร้างวัตถุ มงคลไว้หลายรุ่น ทั้งเครื่องรางของขลังที่นำงามาแกะเป็นรูปสิงห์ เหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อหอม รุ่นแรก ปี 2498 เป็นที่ต้องการของบุคคลทั่วไป และพระเครื่องต่างๆ แต่ทุกแบบทุกพิมพ์ต่างได้รับความนิยมเหมือนกันหมด เนื่องจากประสบการณ์อภินิหารที่ผู้ได้รับไปบอกเล่ากันอย่างต่อเนื่อง

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก

หลวงพ่อยิด จันทสุวัณโน หรือ พระครูนิยุตธรรมสุนทร แห่งวัดหนองจอก ต.ดอนยายหนู อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ท่านเป็นอีกหนึ่ง ในบรรดาพระเกจิอาจารย์ผู้เปี่ยมอภิญญาอาคมขลัง ท่านถวายตัวเป็นถตาคตสืบทอดและเผยแพร่พุทธศาสนาตามแนวทางของพระศาสดาอย่างแท้จริง อีกทั้งยังเป็นผู้สร้างวัดหนองจอกด้วยมือของท่านเอง จากที่รกร้างเต็มไปด้วยป่าไผ่และดงหนาม จนสำเร็จเป็นวัดที่เจริญและงดงามในปัจจุบัน

หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก
ย้อนกลับไปประมาณซัก 10 ปี ผู้ที่นิยมพระเครื่องน้อยคนที่ไม่รู้จักชื่อ หลวงพ่อยิดแห่งวัดหนองจอก ด้วยที่ว่างานสรงน้ำปีละครั้งเดียว (หมายถึงว่า ใน 1 ปีหลวงพ่อท่านอาบน้ำเพียง 1 ครั้งคือในงานสรงน้ำนั่นเอง) และจะอนุญาติให้ลูกศิษย์ที่มาสรงน้ำท่านใช้แปรงทองเหลือง (ชนิดเดียวกับที่ใช้ทำความสะอาดพื้นปูนซีเมนต์) ขัดทำความสะอาดตัวท่าน โดยที่แปรงทองเหลืองที่แสนคมหาได้ระคายผิวหนังของหลวงพ่อแม้ซักนิด เป็นข่าวขจรขจายไปทั่วในเวลานั้น ส่วนวัตถุมงคลของหลวงพ่อยิดที่ขึ้นชื่อคือ ปลัดขิก ที่สร้างปาฏิหารย์บินได้ เป็นที่นิยมกว้างขวางในหมู่ ทหารและตำรวจ เพราะเชื่อกันว่าใครมีปลัดขิกของหลวงพ่อยิดติดตัวแล้วจะดีเด่นในด้าน เมตตามหานิยมและแคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวงอีกทั้งมีผู้ประสบ เหตุการณ์ต่างๆ ทั้งแคล้วคลาดและโชคลาภจากการบูชาวัตถุมงคลจากหลวงพ่อติดตัว ชื่อเสียงของหลวงพ่อจึงโด่งดังมากในยุคนั้น

ประวัติโดยย่อ หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก
หลวงพ่อยิดท่านเกิดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 7 ปีชวด มีนามเดิมว่ายิด ศรีดอกบวบ บิดาชื่อ แก้ว มารดาชื่อพร้อย มีพี่น้องร่วมสายโลหิต 7 คน ท่านเป็นคนที่ 4

มรณภาพ
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2538 สิริอายุ 71 ปี 30 พรรษา

ปลัดขิก หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก
วัตถุมงคล หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก
หลวงพ่อได้เริ่มสร้างวัตถุมงคลแบบทดลองสร้างดูพุทธคุณตั้งแต่สมัยเป็นอาจารย์ยิด โดยสร้างเป็นตะกรุดเพียงไม่กี่ดอก ได้มาเริ่มสร้างวัตถุมงคลแบบจริง ๆ จัง ๆ ก็ตอนสร้างวัดหนองจอกนี่เอง โดยสร้างเป็นเหรียญรูปหล่อ และปลัดขิก และสร้างเรื่อยมา เพราะลูกศิษย์ลูกหาต่างแสวงหา เพราะต่างก็เชื่อมั่นในพุทธคุณของวัตถุมงคลที่หลวงพ่อจัดสร้างขึ้น

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พระปิดตาหลวงปู่โต๊ะ

พระปิดตาปลดหนี้ พิมพ์หลังยันนะ เนื้อผงใบลาน ปี 2521
1.พระปิดตาปลดหนี้ พิมพ์หลังยันนะ เนื้อผงใบลาน ปี 2521 ชื่อพระปิดตารุ่นปลดหนี้ มีที่มาดังนี้ครับพระปิดตารุ่นนี้สาเหตุที่เรียกว่ารุ่น"ปลดหนี้" เพราะว่าเวลาหลวงปู่หยิบพระพิมพ์นี้ให้ใครท่านจะกล่าวให้พรว่า "ขอให้หมดหนี้หมดสินนะ" และเป็นจริงอย่างที่หลวงปู่ท่านกล่าว หลวงปู่โต๊ะได้เมตตาปลุกเสกให้นานถึง 3 ไตรมาส ปี 2521-2523 ***พระเครื่องของพระอริยสงฆ์ที่อุทิศตนบำเพ็ญเพียรอย่างเคร่งครัดสม่ำเสมอ มีวัตรปฎิบัติที่งดงามมาตลอดชีวิตที่อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ เรื่องพระพุทธคุณคงไม่ต้องบรรยาย หากผู้บูชาเป็นผู้ประพฤติตนดีตามคำสั่งสอนของหลวงปู่ จะพบกับโชคลาภ เมตตา และแคล้วคลาด อย่างไม่ต้องสงสัย

พระปิดตารุ่นเงินล้าน เนื้อเกสร ปี 2521
2.พระปิดตารุ่นเงินล้าน เนื้อเกสร ปี 2521 พระปิดตารุ่นนี้เองเมื่อทางวัดนำออกมาให้เช่าบูชาเมื่อปี 2521 ทำให้ทางวัดได้รับเงินทำบุญ รวมกับพระพิมพ์อื่นๆ รวมกันแล้วได้เงินถึง 1 ล้านบาทเศษ นับเป็นครั้งแรกที่ทางวัดมีเงินล้านบาท จึงเรียกชื่อพระปิดตารุ่นนี้ว่า พระปิดตา "พิมพ์เงินล้าน" ใครมีพระปิดตาพิมพ์นี้อยู่ ต่างก็มีความรู้สึกว่า ในเรื่องการเงินมักจะไม่ขาดมือ ทำการงานหรือธุรกิจอะไรก็มักประสบผลสำเร็จเสมอไป และได้รับเงินทองคล่องมือโดยทั่วกัน (จากหนังสือ คุณประสิทธิ์ ปริชาน )(องค์นี้ปัจจุบันผมแขวนอยู่เป็นประจำครับ)

พระปิดตากนกข้าง หลวงปู่โต๊ะ ปี 2522
3.พระปิดตากนกข้าง หลวงปู่โต๊ะ ปี 2522 ในระหว่างปลุกเสกอยู่ ได้เกิดไฟไหมขึ้นที่โต๊ะหมู่บูชา เนื่องจากทางวัดหล่อเทียนใช้เอง ใช้สายสิญจน์เป็นไส้เทียน ซึ่งไม่ค่อยดีนัก เวลาจุดไฟ ไส้เทียนล้มลงมา ไฟจึงลุกไหม้ขึ้น เมื่อไฟลามมาถึงพระปิดตาฯ ที่หลวงปู่ปลุกเสกไว้แล้วนั้น ปรากฎว่าไฟได้มอดดับลงอย่างปาฏิหาริย์ สร้างความมหัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก กล่าวขวัญถึงความศักดิ์สิทธิ์ไปกันต่างๆนาๆ ผู้นำไปใช้ต่างมีประสบการณ์ด้านแคล้วคลาด และเมตตามหานิยมเป็นที่ยอมรับ เนื้อผงเกสร สร้างเพียง 1,500 องค์ ( ข้อมูลจากหนังสือคุณประสิทธิ์ ปริชาน )

พระพุทธคุณของหลวงปู่โต๊ะ ที่เด่นกว่าพระเครื่องอื่นๆคือด้านเมตตาและโชคลาภ พระของท่านดีจริง หากไม่มีเรื่องของเสริมจากวัด และสร้างปลอมเสียเองจากคนในแวดวงของวัด จนเสียขบวนไปแล้วคงจะสูงค่าและน่าสะสมอีกมาก เพราะ หลวงปู่โต๊ะ ท่านมีสมาธิจิตแข็งมากและเป็นที่ยอมรับของหลายพระเกจิอาจารย์ว่า หลวงปู่โต๊ะ เก่งจริง ท่านได้รับการนับถือจากเจ้านายหลายพระองค์ ตลอดจนคนทุกชนชั้นจนถึงทุกวันนี้ พระปิดตาจัมโบ้ ดังมามากในด้านโชคลาภครับ เช่นเดียวกับรุ่นปลดหนี้

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พระครูกิตตินนทคุณ (ล.ป.กี๋ วัดหูช้าง)

พระครูกิตตินนทคุณ หรือที่ชาวบ้านทั่วไปขนานนามท่านว่า “หลวงพ่อกี๋วัดหูช้าง ต.คูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี สมัยท่านมีชีวิตอยู่ ใครมีเรื่องเดือดร้อน หรือต้องการให้ท่านขจัดปัดเป่า ท่านก็เมตตาช่วยเหลือให้ทุกรายไปโดยไม่เลือกชั้นวรรณ ท่านเป็นอดีตพระเกจิอาจารย์ที่เชี่ยวชาญและเก่งด้านอาคมไล่ผี สะเดาะเคราะห์เสริมดวง ที่เรียกว่าเข้าพิธีสวดภาณยักษ์ใหญ่ แก้คนถูกคุณไสยในคนที่มีจิตอ่อนไหว ถูกกระทำด้วยอาคมคนเล่นของหรือโดนของจากลมเพลมพัดไม่รู้เนื้อรู้ตัว มีอาการป้ำๆ เป๋อๆ หลวงพ่อกี๋ ผู้นำวิชาอาคมมารักษาคนที่วัดนี้เป็นครั้งแรกเป็นที่ยอมรับนับถือว่าแน่จริง

หลวงปู่กี๋ วัดหูช้าง
หลวงปู่กี๋ วัดหูช้าง ถูกจัดให้เป็นเกจิดังสมัย พ.ศ.๒๕๐๐ ที่คนเมืองนนท์ เคารพนับถือท่านมาก โดยเฉพาะการทำปลัด ตะกรุด และเครื่องรางของขลังต่างๆ ท่านยังคงจารเอง รวมถึงการเหลาไม้ และวัสดุมวลสารต่างๆ เองทุกขั้นตอน จึงทำให้วัตถุมงคลของท่านเข้มขลัง ทรงคุณค่า และที่สำคัญหายากมาก จนเป็นตำนาน ปลัดขิกเมืองนนท์ สุดยอดของความหายากและปรารถนา เนื่องจากพุทธคุณใช้แทนอาจารย์ของท่านได้เลยทีเดียว

หลวงปู่กี๋ ท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ รวมถึงเป็นศิษย์ก๋งจาบ สำนักประดู่ทรงธรรม อยุธยา ศิษย์น้องหลวงปู่เทียม วัดกษัตราฯ และหลวงพ่อแทน วัดธรรมเสน ซึ่งเกจิร่วมสำนักทั้ง ๓ รูปนี้ได้ก่อปาฏิหาริย์ในคราวปลุกเสกพระที่วัดปราสาทบุญญาวาส สามเสน คือ แผ่นทองแดงของพระอาจารย์ทั้ง ๓ รูปหลอมไม่ละลายมาแล้ว และยังเป็นศิษย์หลวงปู่แดง วัดตะเคียน นนทบุรี และหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เนื่องจากท่านมาแวะพักที่วัดหูช้างเสมอๆ ด้วยบรรดาลูกหลานเหลนท่านมาตั้งรกรากบ้านเรือนในย่านวัดหูช้าง หลายสิบครอบครัว และยังได้ผงจากหลวงพ่อปานตั้งเกือบ ๑ ปี๊ป รวมทั้งเจ้าคุณโพธิ์ วัดชัยพฤกษ์มาลา อีกด้วย จึงนับว่าหลวงพ่อตี๋ วัดหูช้าง ท่านเป็นพระเกจิที่สืบสายพุทธาคมมาอย่างเข้มขลัง

วัตถุมงคล ล.ป.กี๋ วัดหูช้าง

แม้ว่าหลวงปู่กี๋จะมรณภาพไปนานหลายปีแล้วก็ตาม แต่เคล็ดวิชาการทำตะกรุดจารมือ ปลัดขิก รวมทั้งเบี้ยแก้ไม่ได้ตายตามท่านไปด้วย โดยถูกถ่ายทอดให้ พระครูสุวรรณโชติวุฒิ หรือ หลวงพ่อตี๋ เจ้าอาวาสวัดหูช้าง นนทบุรี ปัจจุบันอายุ ๗๔ปี พรรษา ท่านเป็นศิษย์เอกทายาทพุทธาคมเพียงรูปเดียว รวมทั้งยังมีศักดิ์เป็นหลานของหลวงกี๋อีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่

วัดบางพลีใหญ่ ตั้งอยู่ริมคลองสำโรง ที่ตำบลบางพลีใหญ่ ห่างจากประตูน้ำสำโรงไปประมาณ 13 กิโลเมตร เดิมชื่อวัดพลับพลาไชยชนะสงคราม สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ในชัยชนะของพระองค์ ต่อมาได้อัญเชิญพระพุทธรูปองค์ใหญ่สมัยสุโขทัยปางมารวิชัยลืมเนตร หน้าตักกว้าง 3 ศอก 1 คืบ เนื้อเป็นทองสัมฤทธิ์ เป็นที่เลื่อมใสของประชาชนโดยทั่วไปนาม หลวงพ่อโต วัดนี้จึงมีชื่อว่า วัดหลวงพ่อโต ชาวบางพลีได้อัญเชิญหลวงพ่อโตจำลองลงเรือ ในพิธีโยนบัวหรือรับบัวทุกปี ในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11

หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่
หลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ในเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ แห่งอำเภอบางพลี สมุทรปราการ ตามตำนานกล่าวว่าหลวงพ่อเป็นพระพุทธรูปลอยน้ำ
มาจากทางเหนือด้วยกัน ๓ องค์ แล้วแยกย้ายกันขึ้นบกตามจังหวัดต่างๆ ที่ประชาชนอาราธนาขึ้น

ตำนานพระพุทธรูปลอยน้ำ ๓ องค์ มีผู้เล่าไว้ดังนี้...
เมื่อประมาณ ๒๐๐ กว่าปีมาแล้ว มีพระพุทธรูปสมัยล้านช้าง ๓ องค์ ประกอบด้วย หลวงพ่อวัดบ้านแหลม ปางอุ้มบาตร เป็นองค์พี่ หลวงพ่อโสธร ปางสมาธิ เป็นองค์กลาง และหลวงพ่อโต ปางสมาธิ เป็นองค์ใหญ่ที่สุดแต่เป็นองค์น้องสุดท้อง พระพุทธรูปทั้งสามได้แสดงปาฏิหาริย์ โดยการลอยน้ำมาจากทางเหนือ ล่องมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา จนถึงตำบลหนึ่งก็แสดงองค์ให้ประชาชนเห็น ประชาชนมีความศรัทธา จึงอาราธนาพระพุทธรูปทั้งสามขึ้นจากน้ำ ด้วยการพร้อมใจกันฉุด แต่ฉุดเท่าไรก็ไม่ขึ้น จนต้องเกณฑ์จำนวนคนมาช่วยกันฉุดถึงสามแสนคน พระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ก็ไม่ยอมขึ้นจากน้ำ ต่อมาตำบลนี้จึงได้ชื่อว่า ตำบลสามแสน แล้วกลายมาเป็นสามเสนในปัจจุบัน

หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่
องค์พี่ คือ หลวงพ่อบ้านแหลม ลอยไปตามแม่น้ำแม่กลอง แล้วขึ้นประดิษฐานที่วัดบ้านแหลม หรือ วัดเพชรสมุทรวรวิหาร จังหวัดสมุทรสงคราม

องค์กลาง คือ หลวงพ่อโสธรกลับลอยทวนน้ำไปถึงวัดเสาทอน ริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา แล้วขึ้นประดิษฐานที่วัดนี้ ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นวัดโสธรวรารามวรวิหาร

ส่วนองค์สุดท้อง คือ หลวงพ่อโต ลอยเข้าไปในคลองสำโรงแล้วขึ้นประดิษฐานที่วัดบางพลีใหญ่ใน หรือ วัดพลับพลาชัยชนะสงคราม จังหวัดสมุทรปราการ

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ลักษณะสังเกตวัวธนู ล.พ.น้อย วัดศรีษะทอง

ลักษณะการสังเกตวัวธนูของหลวงพ่อน้อย

1. วัวธนูที่แท้จริง จะมีโครงลวดและแผ่นตะกรุด จึงทำให้มีน้ำหนัก หากวัวธนูตัวใดมีน้ำ หนักเบา ต้องถามที่มาที่ไปให้ละเอียดถี่ถ้วนแน่ชัด

2. วัวธนูที่สร้างจากชันโรง เนื้อชันโรงจะมีความแห้งและแน่นตัวมาก เมื่อใช้กล้องส่องดู จะเห็นเนื้อชันโรงเหมือนผสมผงอยู่ด้วย แต่แท้ที่จริงแล้ว มันคือเปลือกต้นพุทราผุที่เอามาเคี่ยวรวมกันนั่นเอง

3. ชันโรงที่ปั้นเป็นวัวธนู จะต้องมีสีแดงดำอมน้ำตาล สีจะไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผิวกายของวัวธนู จะมีลักษณะหยาบ ไม่เรียบร้อย

4. ไม่มีการลงอักขระใด ๆ ที่ตัววัวธนูทั้งสิ้น หากมีนั่นย่อมแสดงว่าเอามาลงในภายหลัง นอกจากนี้ ไม่มีการปิดทองที่ตัววัว ถ้ามีปิดก็ปิดเป็นบางจุดเท่านั้น ถ้าปิดทั้งตัวเป็นการปิดทีหลังแน่นอน ทั้งนี้ เพราะการสร้างวัวธนูนั้น มีกำหนดเวลาในการทำพิธีน้อยและต้องเสร็จให้ทันภายในพิธีด้วย

วัวธนู ล.พ.น้อย วัดศรีษะทอง
การบูชาวัวธนู ล.พ.น้อย
ในการบูชาวัวธนูของหลวงพ่อน้อย จะเหนื่อยหน่อยก็ตรงครั้งแรกเท่านั้นคือจะต้องไปหาน้ำจากสระถึง 5 แห่งมาใส่แก้วไว้บูชา ต่อจากนั้นให้หาใบพุทรา 5 ใบ หาใบหญ้าคา 5 ใบ แล้วนำมารวมเป็นขอดไว้ใบละเปาะ แต่ละขอดให้ภาวนาพระคาถาอุปคุตมัดมาร ที่ว่า อิมํ อฺงคพนฺธนํ อธิฎฐามิ เสร็จแล้วให้จุดเทียน 1 คู่ ธูป 4 ดอกบูชา แล้วให้น้อมรำลึกถึงปรมาจารย์ผู้ริเริ่มการสร้างวัวธนู ซึ่งก็คือสมเด็จพระวันรัตน์ วัดป่าแก้วเป็นท่านแรก และองค์สุดท้ายให้น้อมรำลึกถึงหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง เสร็จแล้วให้ภาวนาพระคาถากำกับวัวธนู ซึ่งมีข้อความดังนี้ เวทาสากุกุ ทาสาเวทา ยัสสะตะถะสาสา ทิกุกุทิสาสา กุตะกุ ภูตะภุโค โหตุเต ชัยยะมังคลานิ

พุทธคุณของวัวธนู ล.พ.น้อย
เชื่อกันว่าวัวธนูของหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทองนั้น มีพุทธคุณแบบที่เรียกว่าครอบจักรวาลเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเมตตามหานิยม มีเสน่ห์ การค้าการขายดีเยี่ยม ทั้งปกป้องคุ้มครองตนเองและบ้านพักอาศัย ทำให้ศัตรูกลับมารัก ทำน้ำมนต์ก็ดีเลิศ กล่าวคือใช้น้ำที่อาบวัวธนูนั้นมาอาบตัวเรา เชื่อว่าจะไม่เจ็บป่วย หรือถ้าป่วยอยู่ ก็จะหายวันหายคืน ถ้าอาบประจำ ก็จะทำให้เกิดมีโชคลาภทั้งปี

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การพิจารณาเสือ ของหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย

เสือหลวงพ่อปาน แบบมาตรฐานนิยมนั้น ต้องอยู่ในลักษณะ เสือนั่งชันขาหน้า หางม้วนรอบฐาน หรือม้วนพาดขึ้นหลัง มีทั้งเสือนั่งหุบปาก และเสืออ้าปาก นิ้วเท้าแต่ละเท้าโดยมากมี 4 นิ้ว แต่มีบางตัวมีแค่ 3 นิ้วก็มี หลักการดูเสือหลวงพ่อปาน นี้ท่องกันมาเป้นคำกลอนว่า "เสือหน้าแมว หูหนู ตาลูกเต๋า ยันต์กอหญ้า" เมื่อดูพิมพ์เข้าเค้าแล้ว ต่อไปต้องพิจารณา ความเก่าของเนื้อเขียวกันต่อไปละครับทีนี้ ต้องเก่าจัด และมีเนื้อฉ่ำ การพิจารณา

เสือ ล.พ.ปาน วัดบางเหี้ย
1. เสือหลวงพ่อปาน ต้องแกะจากเขี้ยวเสือเท่านั้น จะไม่แกะจากกระดูก หรือวัสดุอื่นใด เขี้ยวจะต้องมีเนื้อทึบ จะไม่ใส (ถ้าใสจะเป็นวัสดุประเภทเรซิ่น ที่ทำเลียนแบบขึ้นมา ควรระวังให้มาก กันโดนต้มครับ)

2. เขี้ยวเสือ ที่นำมาแกะมีทั้งแบบเต็มเขี้ยวทั้งอัน และเขี้ยวครึ่งซีก (เรียก เขี้ยวซีก) เขี้ยวเต็มอันจะมี "รูกลม" ตรงกลางผ่านตลอดจากด้านบนสู่ด้านล่าง และต้องมีรอยแตกอ้าทุกเขี้ยว ส่วนเขี้ยวครึ่งซีกจะไม่มีรอยแตกอ้า เขี้ยวด้านหนึ่งต้องมีสีอ่อน อีกด้านจะมีสีแก่ ด้านที่มีสีอ่อน นั้นคือ ด้านแกนในของเขี้ยวนั่นเอง ส่วนด้านที่มีสีแก่ คือด้านนอกของเขี้ยว "เขี้ยวจะมีสีเดียวกันทั้งตัวไม่ได้" ห้ามลืมครับ

เสือ ล.พ.ปาน วัดบางเหี้ย
3. ความเก่า ต้องพิจารณาจากความแห้งเก่า และความฉ่ำของเนื้อเขี้ยว เขี้ยวต้องมีความฉ่ำ กรณีเสือสภาพเดิม ผ่านการใช้บูชามาไม่มาก ผิวจะแห้งเก่า ผิวไม่ตึงเรียบนัก แต่เสือที่พบส่วนใหญ่จะผ่านการใช้ สัมผัสเหงื่อ น้ำมัน คราบไคลต่างๆของร่างกายคน สิ่งเหล่านี้จะซึมเข้าไปสู่เนื้อเสือส่งผลให้เนื้อเขี้ยว แลดู "ฉ่ำ" มาก ฉ่ำใสมีสี เหลืองอมขาวขุ่น ลักษณะเหมือนเช่นเทียนไข โดยเนื้อเขี้ยวควรมีสี "อ่อน-แก่" แลดูเป็นธรรมชาติ มีลายเนื้อในคล้ายๆลายสัปปะรดมีรอย "แตกลาน" เล็กๆ หน่อยๆเป็นกลุ่มๆ ซึ่งเกิดจากการที่เนื้อเซ็ทตัวแห้งลงตามธรรมชาติ จึงดึงให้เนื้อเขี้ยวหดตัวด้วย และให้ระวังเขี้ยวเสือที่ทำจากเรซิ่นด้วยครับ

4. รอยลงเหล็กจาร ก็เป็นจุดสำคัญในการพิจารณา ลักษณะการจารจะเป็นแบบหวัดๆ เส้นคมลึกไม่เท่ากัน จารเป้นขีดๆคล้ายๆลายเสือ จารอักขระยันต์คล้ายๆเลขเจ็ดไทย และเลขสามไทย ลายมือลงจารจะเอียงๆ แหลมๆ จะลงจารบริเวณลำตัว สะโพก และขาหน้า ถ้าน้ำหนักการลงเหล็กจารเท่าๆกันลงแบบไม่แน่ใจในการเขียน ลายเส้นไม่หนักเบา แต่ลึกเท่ากันทุกเส้นอันนี้ควรตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนเลยครับ

5. ใต้ฐาน จารยันต์กอหญ้า ลักษณะเป็นยันต์กลมๆ รีวนไปวนมา ซ้อนกันหลายวง และเป็น ฤ ฤา หรือ ตัวอุ ร่วมกันด้วยก็มีครับ

พุทธคุณ เสือหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย นั้นมีพุทธคุณครบเครื่องทั้งเมตตา แคล้วคลาด และคงกระพันชาตรี แต่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นทางด้านคงกระพันชาตรีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พระราหูอมจันทร์ เนื้อกะลาตาเดียวของหลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง

หลวงพ่อน้อยท่านได้สร้างพระเครื่องและเครื่องรางของคลังไว้หลายชนิด แต่ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากคือ "พระราหูอมจันทร์" และ "พระโคสุลาภ" หรือวัวธนู

กะลาตาเดียวแกะ ล.พ.น้อย วัดศรีษะทอง
พระราหูอมจันทร์ของวัดศรีษะทองมีลักษณะและวิธีการสืบมาจากหลวงพ่อไตร แต่ได้มีการสร้างมากที่สุดในสมัยหลวงพ่อน้อย เป็นการสร้างตามตำรับใบลานจานอักขระขอมลาวที่นำมาจากประเทศลาวโดยตรง ความเป็น มาของราหูอมจันทร์ตามตำนานทางไสยศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า พระราหูนั้นเป็นยักษ์ดุร้าย น่ากลัว ผิวดำเป็นเงาวาวเหมือนนิล มีหางเป็นนาคราชและมีพญาครุฑเป็นพาชนะรับใช้ประจำ สถิตย์พำนักอยู่ในอากาศแวดล้อมด้วยม่านสีดำ แต่เหตุที่ทำให้พระราหูมีเพียงองค์ครึ่งเดียวนั้น เนื่องจากพระราหูต้องจักรของพระนารายณ์ตัดขาดเพราะว่าพระราหูแอบดื่มน้ำอมฤต ในขณะที่พระราหูดื่มน้ำอมฤตอยู่นั้น พระอาทิตย์และพระจันทร์ได้มาเห็นเข้าก็เลยนำความไปฟ้องพระนารายณ์ พระนารายณ์ทรงกริ้วเป็นเหตุให้ขว้างจักรไปต้องกายพระราหูขาดครึ่ง แต่พระราหูไม่ตายเนื่องจากได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไปเลยเป็นนิรันดร์ พระราหูจึงมีความแค้นเคืองต่อพระอาทิตย์และพระจันทร์ ที่คอยเสนอหน้าไปฟ้องพระนารายณ์จึงคอยเฝ้าจับพระอาทิตย์และพระจันทร์กินอยู่เสมอมา ถ้าเผลอเมื่อใดเป็นโดนอันหมายถึงสุริยคราสและจันทรคราสนั่นเอง

พระราหูอมจันทร์ เนื้อกะลาตาเดียวแกะ ล.พ.น้อย วัดศรีษะทอง

เหตุของการสร้างราหูอมจันทร์นั้นาจากความต้องการอมตะหรือเป็นนิรันดร์ของพระราหูที่ไม่รู้จักตายนั้นเอง

การสร้างพระราหูตามสูตรตำรับของลาวของโบราณจะใช้เพียง "กะลาตาเดียว" มาแกะเป็นรูปพระราหูอมจันทร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้นในสมัยของหลวงพ่อน้อยก็เช่นกัน

วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พระเครื่อง ล.พ.คูณ ปริสุทโธ

หลวงพ่อคูณสร้างพระเครื่อง วัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังมาตั้งแต่บวชเพียงแค่ 7 พรรษา โดยเริ่มทำวัตถุมงคลเป็นตะกรุดโทน ตะกรุดทองคำ เพื่อฝังที่ใต้ท้องแขน ณ วัดบ้านไร่ ราวพ.ศ.2493 ประโยคคำพูดที่มักจะได้ยินบ่อยๆ "ใครขอกูก็ให้ ไม่เลือกยากดีมีจน" เป็นคำกล่าวของท่านยามแจกจ่ายวัตถุมงคล เนื่องจากวัตถุมงคลของหลวงพ่อคูณได้ชื่อว่ามีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์

การปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงพ่อคูณจะใช้คาถาไม่กี่บท หัวใจพระคาถามีว่า "มะอะอุ นะมะพะธะ นะโม พุทธายะ พุทโธ และยานะ"

เหรียญรุ่นแรก ล.พ.คูณ เนื้อทองแดงรมดำ ปี 2512
เหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อคูณรุ่นแรกดังมาก ปัจจุบันสนนราคาเล่นหาสูง พุ่งถึง 6 หลักเลยทีเดียว เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อคูณ เนื้อทองแดงรมดำ สร้างเมื่อปี 2512 ขณะพำนักอยู่วัดแจ้งนอก เพื่อเป็นที่ระลึกในงานฉลองพระประธานวัดแจ้งนอก จ.นครราชสีมา

ลักษณะเหรียญด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อคูณครึ่งองค์ ข้อความ "พระอาจารย์คูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ด้านหลังลงยันต์ โดยมีข้อความเป็นวงกลมล้อมเขียนว่า "ที่ระลึกฉลองพระประธาน วัดแจ้งนอก ในเมืองนครราชสีมา ๙ ส.ค.๑๒"

เหรียญหลวงพ่อคูณรุ่นแรก ออกวัดแจ้งนอก รุ่นนี้เท่าที่มีการค้นพบมีเพียงเนื้อทองแดงรมดำ ปัจจุบันเป็นเหรียญที่หายากและมีราคาแพงที่สุดของเหรียญหลวงพ่อคูณทุกรุ่น

เหรียญ ล.พ.คูณ รุ่นสร้างบารมี ปี 2519
เหรียญหลวงพ่อคูณ รุ่นสร้างบารมี ปี 2519
เป็นเหรียญอีกรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากเช่นกัน เหรียญรุ่นสร้างบารมี ปี 2519 ออกในนามวัดบ้านไร่ เหรียญรุ่นนี้พระมหาสวน วัดสระแก้วเป็นผู้ขออนุญาติจัดสร้างจำนวนเหรียญเนื้อทองคำ 19 องค์ เนื้อเงิน199 องค์ เนื้อนวะโลหะ 999 องค์ เนื้อทองแดง 2519 องค์ จำนวนเหรียญน้อยขนาดนี้และความต้องการเหรียญมีมากจึงส่งผลทำให้ราคาเหรียญแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เหรียญปล้องอ้อย ล.ป.เพิ่ม

เหรียญปล้องอ้อย ลป เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ปี 2518

เหรียญปล้องอ้อย ล.ป.เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว
ในปี พ.ศ. 2517 ถึง พ.ศ. 2518 มูลนิธิเพิ่มวิทยา มีการ จัดพิธี พุทธาภิเษก สามครั้ง

ครั้งแรก จัดตลอดคือ วันเสาร์ 19 ตค 17 เป็นการเสกแผ่นทองลงยันต์ และตะกรุด ที่ 5 สมเด็จ และ 219 เกจิ มอบให้แก่มูลนิธิ สำหรับหลอมเป็นขนวน ที่จะใช้ใน พิธ๊เทองในวันอาทิตย์ ที่ 20 ตค 17 พิธีนี้ สมเด็จสังฆราชทรงเป็นประธาน มีการ เสกเหรียญ ลป เพิ่ม รุ่นเททอง จำนวน 10,000 เหรียญ

ครั้งที่สอง จัด สามวันสามคืน ในวันที่ 23 –25 เมษา 18 ต่อด้วยการปลุกเษกเดี่ยวโดยพะเกจิที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น อีก 5 วัน

ครั้งที่สาม วัน พฤหัส 25 ธค 18 ชุมนุมพระอาจารย์ 108 รูป

ทั้งสามพิธีจัดได้ถูกต้องตามประเพณีโบราณ บรรยากาศเงียบสงัด ขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีการละเล่นมโหรสพ ไม่มีผู้คนพลุกพล่านเข้ารบกวนในบริเวณพิธีเหรียญปล้องอ้อยนี้ เข้าร่วมพิธี ครั้งที่สอง และ ครั้งที่สาม และ ล.ป. เพิ่ม ได้ปลุกเศกเดี่ยวอีกต่างหากระยะหนึ่ง

รายนามพระอาจารย์ที่เข้าร่วมพิธี

เหรียญปล้องอ้อย ล.ป.เพิ่ม ปี 2518
ล.ป. เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว
ล.ป. เขียว วัดหรงบน
ล.พ. แช่ม วัดดอนยายหอม
ล.พ. ลำไย วัดทุ่งลาดหญ้า
ล.ป. โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
ล.พ. ถิร วัดป่าเลไลย์
ล.พ. สำเนียง วักเวฬุ
ล.พ. เงิน วัดดอนยายหอม
ล.พ. เต๋ คงทอง วัดสามง่าม
อาจารย์ นำ วัดดอนสาลา
ล.พ. พริ้ง วัดโบสถ์โก่งะนู
ล.พ. บุญ วัดวังมะนาว
ล.พ. เส็ง วัดบางนา
ล.พ. คลิ้ง วัดถลุงทอง
ล.พ. สุด วัดกาหลง
ล.พ. หิน วัดระฆัง
ล.พ. คูณ ปริสุทโธ
ล.พ. จรัล วัดอัมพวัน

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เหรียญยันต์ดวง ล.ป.ดู่

เหรียญยันต์ดวงหลวงปู่ดู่ ปี2526
เหรียญยันต์ดวงหลวงปู่ดู่ ปี2526 จัดเป็นเหรียญที่ลูกศิษย์ใฝ่หากันอยู่เหมือนกันเพราะเรื่องของพุทธคุณนั้น ไม่ต้องพูดถึงดีมากๆ ชื่อก็บอกแล้วว่า ยันต์ดวงคนที่ดวงไม่ค่อยจะดี ดวงตกหรือมีแต่เรื่องไม่ค่อยจะดี ถ้ามีเหรียญยันต์ดวงติดตัวอยู่และหมั่นสวดมนต์อยู่เป็นประจำ(สวดบทพุทธคุณ และ บทมหาจักรพรรดิ ควบคู่กันไปจะดีมากๆ) จะทำให้ดวงดีขึ้นหรือที่หนักก็จะเบาบางลง และที่ดีอยู่แล้วก็จะดียิ่งขึ้นไปอีกครับ (ตอนนี้ตัวผมก็ อาราธนา เหรียญยันต์ดวงของหลวงปู่ดู่องค์เดียว...ถ้าใจรักและเคารพศรัทธาในองค์หลวงปู่ดู่เหรียญเดียวก็พอแล้วครับ)

เหรีญญยันต์ดวง ล.ป.ดู่ วัดสะแก
เหรียญยันต์ดวงหลวงปู่ดู่ ปี 2526 มีทั้งหมด 3 เนื้อด้วยกัน
1.เนื้อทองคำ
2.เนื้อเงิน
3.เนื้อทองแดงรมดำ

เนื้อทองแดงรมดำ แบ่งออกเป็น 3 พิมพ์ด้วยกัน
1.พิมพ์ธรรมดา เนื้อเหรียญด้านหน้าจะไม่มีรอยก้นหอยที่เกิดจากแรงปั้มรูปยันต์นะปิดล้อมที่อยู่ด้านหลังเหรียญ

2.พิมพ์นิยม จะมีเนื้อเกินขึ้นมาทางด้านซ้ายข้างใบหูและด้านบนศีรษะของหลวงปู่ซึ่ง เนื้อที่เกินมานี้น่าจะเกิดจากแรงปั้มที่เป็นยันต์ด้านหลังของเหรียญเอง

3.พิมพ์นิยมแบบพิเศษ พิมพ์นี้จะเหมือนกับพิมพ์นิยมทุกอย่างพิเศษตรงที่ปรกติพิมพ์นิยมจะมีรอยก้น หอยที่เกิดจากแรงปั้มข้างเดียวแต่พิมพ์พิเศษนี้จะมีอยู่ 2 ข้างทั้งซ้าย และ ขวา (โปรดสังเกตให้ดีๆ)

เหรียญยันต์ดวง เนื้อเงิน ล.ป.ดู่ วัดสะแก
ในส่วนของเหรียญนั้น ตอนที่ทำสมัยก่อนไม่ได้ใส่กล่องเพราะอาจจะคาดไม่ถึงว่าจะเป็นที่นิยมในอนาคต ดังนั้นเหรียญจึงมีโอกาสเสียดสีกัน เป็นรอยจากธรรมชาติของการใส่เหรียญรวมกันในถุงใหญ่ๆ ในส่วนที่ผมมีนั้นเหรียญก็เป็นรอยเยอะมาก มีตำหนิตามธรรมชาติการตัดขอบเหรียญ

เหรียญและพระผงยันต์ดวง ล.ป.ดู่ วัดสะแก

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พระผงของขวัญ วัดปากน้ำ

พระผงของขวัญท่านเจ้าประคุณพระมงคลเทพมุนี หรือหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ ธนบุรีนั้น เป็นพระเครื่องที่ขึ้นชื่อลือชาเป็นอย่างยิ่ง และมีผู้นิยมบูชาแสวงหาจำนวนมาก

พระผงของขวัญ วัดปากน้ำ รุ่น1
พระผงของขวัญหลวงพ่อสดท่านสร้างขึ้นเพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับผู้มีจิตศรัทธาสมทบทุนช่วย กันสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม นับเป็นการบอกบุญรุ่นแรกๆ และมอบพระให้เป็นที่ระลึก เลยเรียกกันว่า "พระของขวัญ" ซึ่งจัดสร้างเป็นพระเนื้อผง ประกอบด้วยวัตถุมงคลต่างๆ มีตัวหลักเป็นผงปูน และเขียนผงเป็นยันต์วิเศษตามตำรับ เช่น ผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผงปถมัง เป็นต้น มีมวลสารอื่นๆ อาทิ ดอกมะลิแห้งที่มีผู้นำไปบูชา เส้นเกศาของหลวงพ่อสดเอง

พระผงของขวัญวัดปากน้ำ รุ่น1 นั้น สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2493 จำนวน 84,000 องค์ ทำบุญ 25 บาท เป็นอย่างน้อย จะได้รับพระจากหลวงพ่อสด 1 องค์ จะบริจาคมากเท่าไรก็จะได้เพียงองค์เดียว เพราะหลวงพ่อสดท่านยึดถือว่า พระมีราคามากกว่าเงิน พระวัดปากน้ำจึงไม่มีการแจกฟรี

เหรียญถวายภัตตาหาร ล.พ.สด วัดปากน้ำ
พระวัดปากน้ำรุ่นแรกปลุกเสกนานถึง 4 เดือน เพราะอยู่ในช่องของการเข้าพรรษาพอดี การปลุกเสกแบบปลุกเสกไปแจกไปนั้น หมดที่องค์สุดท้ายเมื่อประมาณ พ.ศ.2495

พระผงของขวัญ วัดปากน้ำนี้มีอยู่ด้วยกัน 3 รุ่น ปรากฏว่าพุทธคุณเป็นที่เลื่องลือทั้งด้านเมตตามหานิยม มหาลาภ แคล้วคลาดคงกระพัน จนพูดกันติดปากว่า "ถ้ามีพระวัดปากน้ำอยู่กับตัวแล้ว ในน้ำไม่ตาย บนบกไม่ตาย กลางอากาศไม่ตาย ลาภผลไม่ขาดมือ และมีค่าเท่ากับสมบัติพันล้าน หากมุ่งหวังสิ่งใดก็ให้อธิษฐานเถิดจักเกิดสัม ฤทธิผลทุกประการ" และเนื่องจากองค์พระเป็นเนื้อผง จึงมีความเปื่อยยุ่ยง่าย ดังนั้น จึงพบว่าบางองค์มีการนำมาลงแล็กเกอร์เพื่อให้เกิดความคงทน

แลกลิงค์

Create your own banner at mybannermaker.com!
Copy this code to your website to display this banner!
เอาลิงค์ติดที่เว็บท่านแล้วแจ้งที่ infothaiamulet@gmail.com